สหราชอาณาจักรเข้าสู่ยุคหลัง Brexit เต็มรูปแบบ ปรับความสัมพันธ์เศรษฐกิจใหม่ทั่วโลก
นับตั้งแต่สหราชอาณาจักรแยกตัวจากสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2563 การปรับตัวทางเศรษฐกิจและการทูตในยุคหลัง Brexit ได้เข้าสู่ช่วงสำคัญอย่างแท้จริงในปี 2568 เมื่อรัฐบาลอังกฤษประกาศชุดนโยบายเศรษฐกิจระยะยาวภายใต้แนวคิด "Global Britain 2.0"
แนวนโยบายใหม่นี้มุ่งเน้นการขยายความร่วมมือการค้ากับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกา แทนที่ความพึ่งพาตลาดยุโรปแบบเดิม รัฐบาลได้เจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ฉบับใหม่กับกลุ่ม CPTPP ซึ่งครอบคลุมประเทศสำคัญอย่างญี่ปุ่น แคนาดา และออสเตรเลีย รวมถึงผลักดันความร่วมมือด้านพลังงานสะอาดกับซาอุดีอาระเบียและยูเออี

ภายในประเทศ รัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอลิซาเบธ แกรนต์ ประกาศชุดมาตรการอุดหนุนภาคการผลิตและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยจัดตั้งกองทุน Sovereign Innovation Fund มูลค่า 100 พันล้านปอนด์ เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัปที่มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก
ผลกระทบของ Brexit ที่ยังเห็นได้ชัดคือการลดลงของแรงงานต่างชาติในภาคบริการ โดยเฉพาะในระบบสาธารณสุขและธุรกิจอาหาร ซึ่งนำไปสู่การปรับโครงสร้างแรงงานครั้งใหญ่ พร้อมทั้งเร่งยกระดับทักษะแรงงานในประเทศผ่านโครงการฝึกอบรมทั่วราชอาณาจักร
สรุป: ยุคหลัง Brexit – เส้นทางแห่งการปรับตัว สหราชอาณาจักรกำลังอยู่บนเส้นทางของการปรับตัวเชิงระบบในยุคหลัง Brexit โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นโยบายล่าสุดชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการกลับมาให้ความสำคัญกับ “ความยืดหยุ่น” มากกว่าความยึดติดกับกรอบความร่วมมือเดิม การสร้างพันธมิตรใหม่ และการยอมรับผลประโยชน์ร่วมกันแบบยืดหยุ่นนั้นกลายเป็นแนวทางสำคัญแม้เส้นทางนี้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนในระยะสั้น ทั้งจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย และการลงทุน แต่การปูพื้นฐานความร่วมมือใหม่กับประเทศหลักทั่วโลก รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศให้เท่าทันโลกาภิวัตน์รอบใหม่ จะเป็นกุญแจสำคัญที่กำหนดอนาคตของสหราชอาณาจักรในเวทีเศรษฐกิจโลกในอีกทศวรรษข้างหน้า
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่า แม้นโยบายเศรษฐกิจใหม่ของอังกฤษจะมีแนวโน้มกระจายความเสี่ยงจากตลาดเดิมได้ดี แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายของการเข้าสู่ระบบการค้าระหว่างประเทศในฐานะรัฐอิสระอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในประเด็นมาตรฐานสินค้า การขนส่ง และความสามารถในการแข่งขัน
หนึ่งในสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนยุทธศาสตร์คือการละทิ้งเป้าหมายการเจรจา FTA ขนาดใหญ่ เช่น ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหรัฐอเมริกา หรืออินเดีย ซึ่งแม้มีการพูดคุยอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่สามารถสรุปผลได้เป็นรูปธรรม นโยบายใหม่จึงมุ่งเน้นข้อตกลง “เฉพาะทาง” เช่น ความร่วมมือในการยอมรับคุณสมบัติวิชาชีพ (mutual recognition of professional qualifications) และมาตรการลดอุปสรรคทางเทคนิคสำหรับผู้ส่งออก SME ในสาขาบริการขณะเดียวกัน สหราชอาณาจักรยังได้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมการส่งออกบริการ (เช่นเทคโนโลยีดิจิทัล บริการทางการเงิน และสุขภาพ) ภายใต้ชื่อ “Ricardo Fund” เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้าสิ่งของ ซึ่งเป็นภาคที่มีการแข่งขันสูงและมีต้นทุนพลังงานเป็นปัจจัยกดดัน
Don't miss a story
Subscribe to our email newsletter:
Don't worry we hate spam as much as you do



